อย่ามองข้าม! สัญญาณเตือน “รากฟันละลาย” ที่หลายคนไม่รู้

Share Post:

อย่ามองข้าม! สัญญาณเตือน “รากฟันละลาย” ที่หลายคนไม่รู้

อย่ามองข้าม! สัญญาณเตือน “รากฟันละลาย” ที่หลายคนไม่รู้

เคยไหม… อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าฟันเริ่มโยกโดยไม่มีสาเหตุ? หรือบางครั้งเจ็บทุกครั้งที่กัดอาหารแข็ง ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีฟันผุ? อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่คิด เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณสำคัญของ “รากฟันละลาย”

ปัญหาที่หลายคนมองข้าม และอาจกำลังเผชิญกับภาวะรากฟันละลายโดยไม่รู้ตัว หากปล่อยไว้นาน กว่าจะรู้ตัวก็อาจสายเกินแก้ไปเสียแล้ว นอกจากนั้นไม่เพียงแต่ทำให้สูญเสียฟันซี่นั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพช่องปากโดยรวม รวมถึงโครงสร้างฟันซี่ข้างเคียงด้วย

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับ “รากฟันละลาย” ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การป้องกัน และการรักษา เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพฟันของตนเองได้อย่างถูกต้อง และไม่ละเลยสัญญาณเตือนที่ร่างกายกำลังบอก

รากฟันละลาย (Root Resorption) คืออะไร

รากฟันละลาย หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Root Resorption คือภาวะที่มีการสูญเสียเนื้อเยื่อรากฟัน ไม่ว่าจะเป็นซีเมนต์ (Cementum) หรือเนื้อฟัน (Dentin) ที่อยู่บริเวณราก โดยเซลล์ในร่างกายเองเป็นตัวทำลาย ซึ่งกระบวนการนี้อาจเกิดจากการอักเสบ การกดทับ หรือแรงกระแทกต่าง ๆ

โดยปกติ รากฟันละลายสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ

1. รากฟันละลายภายใน (Internal Resorption)
เกิดจากการอักเสบภายในโพรงประสาทฟัน ทำให้รากฟันเริ่มถูกทำลายจากด้านใน

2. รากฟันละลายภายนอก (External Resorption)
เกิดจากแรงกดหรือปัจจัยภายนอก เช่น การจัดฟัน ฟันคุดดัน หรือโรคปริทันต์อักเสบ

แต่ไม่ว่าภาวะรากฟันละลายจะเกิดจากสาเหตุใด สิ่งสำคัญคือ ต้องตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เพราะหากปล่อยให้ความเสียหายลุกลามไปมาก การรักษาอาจทำได้ยากและต้องลงเอยด้วยการถอนฟัน

สาเหตุที่ทำให้รากฟันละลาย (Root Resorption)

1. แรงดึงจากการจัดฟัน
การจัดฟันใช้แรงเพื่อเคลื่อนฟัน แต่หากใช้แรงมากเกินไปหรือไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการละลายของปลายรากฟัน (apical root resorption) โดยทั่วไปอาจเป็นเพียงเล็กน้อย และหยุดเมื่อยุติการรักษา แต่หากรุนแรงอาจไปกระตุ้นให้เกิดการสลายตัวของรากฟันได้ และรากฟันอาจสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด

2. โรคปริทันต์อักเสบรุนแรง
โรคเหงือกและปริทันต์ หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้ลุกลาม จนรากฟันและกระดูกโดยรอบถูกทำลาย ซึ่งอาจทำให้รากฟันละลายไปทีละน้อย

3. ฟันคุดดันหรือเบียดฟันข้างเคียง
ฟันที่ขึ้นผิดแนว เช่น ฟันคุดที่มีแรงเบียดสูง ๆ ก่อให้เกิดแรงกดทับกับฟันซี่ข้าง ๆ จนรากฟันถูกกัดกร่อน และละลายได้

4. ฟันผุลึกถึงรากฟัน
การที่ฟันผุลึกถึงรากฟันทำให้รากได้รับการติดเชื้อ ร่างกายจึงส่งระบบอักเสบมาทำลายเนื้อเยื่อราก จนเกิดการละลายได้

5. เคยได้รับกระแทกรุนแรงบริเวณฟัน
อุบัติเหตุที่ทำให้ฟันกระทบ เช่น หกล้ม ถูกกระแทก จนเนื้อรอบรากฟันบาดเจ็บ บอบช้ำและเสี่ยงต่อการละลาย

เช็ก 5 อาการเสี่ยง “รากฟันละลาย”

1. ฟันโยกเล็กน้อย แม้ไม่มีฟันผุ
หากฟันเริ่มโยกโดยไม่ทราบสาเหตุ และตรวจไม่พบฟันผุ อาจเป็นสัญญาณของรากฟันที่เริ่มละลาย

2. เหงือกบวม แดง กดแล้วรู้สึกเจ็บ
มักเกิดจากการอักเสบรอบ ๆ รากฟัน หรือมีแรงกดเบียดที่ทำให้เนื้อเยื่ออ่อนรอบฟันอักเสบ เป็นสัญญาณของการอักเสบที่อาจรุกลามลงมาสู่รากฟัน

3. เจ็บเวลากัดหรือเคี้ยวอาหาร
อาการเจ็บเกิดจากแรงกดลงบนฟันที่รากกำลังสูญเสียโครงสร้างรองรับ อาจทำให้ฟันรับแรงไม่ปกติ

4. ฟันเปลี่ยนสี คล้ำหรือหม่นลง
การละลายของรากอาจสัมพันธ์กับการตายของโพรงประสาทฟัน ทำให้ฟันเปลี่ยนสีคล้ำขึ้นได้

5. ปวดฟันหน่วง ๆ เป็นระยะ
มักเกิดจากการอักเสบหรือแรงกดภายในที่มองไม่เห็นภายนอก โดยเฉพาะเวลาเคี้ยวหรือสัมผัสกับอาหารแข็ง แสดงให้เห็นว่ารากฟันเริ่มมีปัญหา

จัดฟันแล้วรากฟันละลาย จริงหรือไม่?

เป็นคำถามที่ผู้ป่วยจัดฟันหลายคนกังวล คำตอบคือ “มีโอกาสเกิดขึ้นได้” การจัดฟันสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อรากฟันละลายได้ โดยเฉพาะหากแรงจัดฟันที่ใช้มากเกินไป หรือการควบคุมไม่สมดุล ระยะเวลาการจัดนานเกินไป

จากงานวิจัยพบว่า แรงจากการจัดฟันถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด External Apical Root Resorption (EARR) โดยมักจะหยุดเมื่อยุติการรักษา แต่ต้องมีการติดตามผ่านภาพถ่ายเอกซเรย์ (radiograph) อย่างสม่ำเสมอ

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จัดฟันจะมีรากฟันละลาย เพราะทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟันจะคำนวณแรงกดดันให้เหมาะสม และมีการถ่ายภาพเอกซเรย์เป็นระยะเพื่อตรวจสอบ หากพบว่ารากฟันมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะปรับวิธีรักษาทันทีเพื่อป้องกันการสูญเสียรากฟัน

วิธีป้องกันรากฟันละลาย

แม้เราจะไม่สามารถควบคุมปัจจัยบางอย่างได้ แต่ยังมีหลายวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงของรากฟันละลายได้ เช่น

  • หมั่นตรวจสุขภาพฟันและทำความสะอาดช่องปากอย่างถูกวิธี
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อตรวจเช็กสภาพฟันและรากฟัน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ฟันผิดวิธี เช่น กัดของแข็ง เปิดขวดด้วยฟัน
  • หากกำลังจัดฟัน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • รีบรักษาฟันผุหรือโรคเหงือกตั้งแต่ระยะแรก เพื่อป้องกันการลุกลามถึงราก

วิธีรักษารากฟันละลาย

การรักษาภาวะรากฟันละลายขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งที่เกิด โดยทั่วไปมีแนวทางดังนี้

  • การรักษาคลองรากฟัน (Root Canal Treatment) ใช้ในกรณีรากฟันละลายจากการอักเสบภายใน เพื่อกำจัดเชื้อโรคและเก็บรักษาฟันไว้
  • การเกลารากฟันและรักษาเหงือก เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคปริทันต์ร่วมด้วย
  • การถอนฟัน หากรากฟันถูกทำลายมากจนไม่สามารถเก็บไว้ได้ การถอนฟันคือทางเลือกสุดท้าย ก่อนใส่รากเทียมหรือสะพานฟันทดแทน
  • การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ในกรณีที่รากฟันละลายเพียงเล็กน้อยและยังไม่รุนแรง อาจใช้วิธีเฝ้าสังเกต ร่วมกับการปรับพฤติกรรมการดูแลช่องปาก

สรุป

รากฟันละลาย อาจเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว เพราะในระยะแรกอาการไม่ชัดเจน แต่หากละเลยจนรุนแรง อาจทำให้สูญเสียฟันซี่นั้นได้ สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันสัญญาณเตือน เช่น ฟันโยก ฟันเปลี่ยนสี เจ็บเวลากัด หรือเหงือกบวม และรีบพบทันตแพทย์ทันที หากรู้ทัน และรักษาได้เร็ว ก็ช่วยให้รักษาฟันแท้ของคุณได้สำเร็จ

หากคุณสงสัยว่าตัวเองอาจมีอาการเหล่านี้ หรืออยากตรวจสุขภาพฟัน สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Dental Life Clinic ได้ตลอดนะครับ เราพร้อมให้คำแนะนำ และให้การดูแลรักษาอย่างเต็มที่ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี พร้อมทั้งสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงครับ 🩺🥰
.
ปรึกษาเราได้ฟรี!
083-070-5955, 02-938-9178
Inbox : https://m.me/dentallifeclinic
Line : @dentallife หรือคลิก https://lin.ee/R5pISY5
แผนที่ : https://goo.gl/maps/jkHoQaHvMVEtYx4i6

Stay Connected

More Updates